การใช้งาน GPS กับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (PDPA) เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิ์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนในประเทศไทย การใช้งาน GPS ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลตำแหน่งที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ จึงต้องคำนึงถึงข้อกำหนดและหลักการของ PDPA อย่างเคร่งครัด บทความนี้จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างการใช้งาน GPS และ PDPA รวมถึงแนวปฏิบัติที่ควรทราบ

  1. ข้อมูลตำแหน่ง GPS ภายใต้ PDPA

1.1 ข้อมูลตำแหน่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคล

ตาม PDPA ข้อมูลส่วนบุคคลหมายถึงข้อมูลที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งข้อมูลตำแหน่งที่ได้จาก GPS ก็ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลประเภทหนึ่ง เนื่องจากสามารถใช้ระบุตัวบุคคลหรือติดตามการเคลื่อนไหวของบุคคลนั้นได้

1.2 ข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Data)

ในบางกรณี ข้อมูลตำแหน่งอาจถูกจัดเป็นข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Data) หากมีการเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบุคคล เช่น สถานที่ที่บุคคลไปบ่อย ๆ หรือรูปแบบการใช้ชีวิต ซึ่ง PDPA กำหนดให้ต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลก่อนการเก็บรวบรวมหรือใช้ข้อมูลดังกล่าว

  1. หลักการของ PDPA ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน GPS

2.1 การขอความยินยอม (Consent)

ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) ที่ใช้ GPS เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่งต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยต้องแจ้งวัตถุประสงค์ของการเก็บรวบรวมข้อมูล ระยะเวลาที่จะเก็บข้อมูล และบุคคลหรือหน่วยงานที่ข้อมูลจะถูกเปิดเผยให้ด้วย

2.2 การใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้

ข้อมูลตำแหน่งที่เก็บรวบรวมได้ต้องถูกใช้เฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้กับเจ้าของข้อมูลเท่านั้น ห้ามนำไปใช้ในทางอื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมเพิ่มเติม

2.3 การรักษาความปลอดภัยข้อมูล

ผู้ควบคุมข้อมูลต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเข้าถึง ใช้ เปลี่ยนแปลง หรือเปิดเผยข้อมูลตำแหน่งโดยไม่ได้รับอนุญาต มาตรการเหล่านี้รวมถึงการเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล (Access Control)

2.4 สิทธิ์ของเจ้าของข้อมูล

เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ตาม PDPA หลายประการ เช่น สิทธิ์ขอเข้าถึงข้อมูล สิทธิ์ขอแก้ไขข้อมูล สิทธิ์ขอลบข้อมูล และสิทธิ์ขอให้ระงับการใช้ข้อมูล ผู้ควบคุมข้อมูลต้องปฏิบัติตามคำขอเหล่านี้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

  1. แนวปฏิบัติสำหรับองค์กรที่ใช้ GPS

3.1 การจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว

องค์กรที่ใช้ GPS ควรจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน และแจ้งให้ผู้ใช้ทราบถึงวิธีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลตำแหน่ง รวมถึงสิทธิ์ของผู้ใช้ภายใต้ PDPA

3.2 การฝึกอบรมพนักงาน

พนักงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลตำแหน่งควรได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับข้อกำหนดของ PDPA เพื่อให้เข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล

3.3 การประเมินความเสี่ยง (Data Protection Impact Assessment: DPIA)

องค์กรควรดำเนินการประเมินความเสี่ยงก่อนเริ่มใช้ GPS เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่ง โดยเฉพาะหากข้อมูลนั้นอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคลอย่างมีนัยสำคัญ

3.4 การเลือกใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับ PDPA

องค์กรควรเลือกใช้เทคโนโลยี GPS ที่มีฟังก์ชันการทำงานที่สอดคล้องกับ PDPA เช่น การระบุตำแหน่งแบบไม่ระบุตัวตน (Anonymization) หรือการเข้ารหัสข้อมูล เพื่อลดความเสี่ยงในการละเมิดความเป็นส่วนตัว

  1. กรณีศึกษาที่เกี่ยวข้อง

4.1 การใช้ GPS ในแอปพลิเคชันนำทาง

แอปพลิเคชันนำทางเช่น Google Maps หรือ Waze ต้องปฏิบัติตาม PDPA โดยการขอความยินยอมจากผู้ใช้ก่อนเก็บรวบรวมข้อมูลตำแหน่ง และต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

4.2 การใช้ GPS ในยานพาหนะ

บริษัทที่ใช้ GPS เพื่อติดตามยานพาหนะของพนักงานหรือลูกค้า ต้องแจ้งวัตถุประสงค์และขอความยินยอมก่อนเริ่มใช้งาน รวมถึงต้องไม่ใช้ข้อมูลตำแหน่งในทางที่ผิดหรือเกินขอบเขตที่แจ้งไว้

  1. บทสรุป

การใช้งาน GPS ในยุคที่ข้อมูลส่วนบุคคลมีความสำคัญมากขึ้น จำเป็นต้องคำนึงถึงข้อกำหนดของ PDPA อย่างเคร่งครัด ทั้งในแง่ของการขอความยินยอม การใช้ข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ และการรักษาความปลอดภัยข้อมูล องค์กรและผู้ใช้ GPS ควรตระหนักถึงสิทธิ์และความรับผิดชอบภายใต้กฎหมายนี้ เพื่อให้การใช้เทคโนโลยีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่ละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคล

ด้วยการปฏิบัติตาม PDPA อย่างถูกต้อง เราสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี GPS ได้อย่างเต็มที่ ในขณะเดียวกันก็ปกป้องสิทธิ์และความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างเหมาะสม